ญี่ปุ่นหิมะตกหนัก เตือนภัยหิมะครั้งแรกในรอบ 13 ปี

ประกาศเตือน+ ญี่ปุ่นกำลังเผชิญกับหิมะตกหนัก เนื่องจากแนวปะทะความกดอากาศต่ำ ส่งผลให้กรุงโตเกียวต้องประกาศเตือนภัยหิมะตกหนักครั้งแรกในรอบ 13 ปี

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 8 ก.พ. ว่า กรุงโตเกียวและพื้นที่อื่นๆ ทั่วประเทศญี่ปุ่น กำลังเผชิญกับหิมะตกหนัก ซึ่งส่งผลให้สนามบินต่างๆ ต้องยกเลิกเที่ยวบินรวมเกือบ 300 เที่ยว บริการรถบางส่วนก็ถูกยกเลิกชั่วคราวเช่นกัน ขณะที่หน่วยงานด้านสภาพอากาศประกาศเตือนภัยพายุรุนแรงในกรุงโตเกียว

กรมอุตุนิยมวิทยาแห่งญี่ปุ่น เผยว่า เกิดหิมะตกหนัก หนาประมาณ 4 ซม.ในโตเกียว ตั้งแต่ช่วงเช้าวันเสาร์ หลังจากแนวปะทะความกดอากาศต่ำเคลื่อนตัวเข้าสู่พื้นที่ทางตะวันออกของประเทศญี่ปุ่นอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้พนักงานร้านค้าและร้านอาหาร ในย่านการค้าอย่างเขตกินซ่า ต้องรีบเร่งเก็บกวาดหิมะออกจากหน้าร้านเป็นการด่วนขณะที่ภาพรายงานข่าวที่เผยแพร่ผ่านสถานีโทรทัศน์ของญี่ปุ่น แสดงให้เห็นผู้โดยสารจำนวนหลายร้อยคน เข้าคิวเพื่อชำระเงินคืน หรือเปลี่ยนเที่ยวบินที่สนามบิน 'ฮาเนดะ' ในกรุงโตเกียว ซึ่งเที่ยวบินขาออกถูกยกเลิกจำนวนมาก สื่อท้องถิ่นรายงานด้วยว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 43 คน จากอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับหิมะ

กรมอุตุฯ ได้ประกาศเตือนภัยหิมะตกหนักในกรุงโตเกียวแล้ว โดยถือเป็นการเตือนครั้งแรกในรอบ 13 ปี และคาดการณ์ว่า ในช่วงบ่ายวันเสาร์ โตเกียวจะมีหิมะตกเพิ่มอีก ความหนาไม่เกิน 20 ซม. จึงร้องขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการออกไปนอกบ้านหากไม่จำเป็น
ทั้งนี้ จากรายงานของสำนักข่าว 'เอ็นเอชเค' สายการบิน 'เจแปน แอร์ไลน์ส' ประกาศยกเลิกเที่ยวบินในประเทศจำนวน 265 เที่ยวบินในวันเสาร์ เนื่องจากหิมะตกหนัก ส่วนสายการบิน 'ออล นิปปอน แอร์เวย์ส' อีกหนึ่งสายการบินใหญ่ของญี่ปุ่น ประกาศยกเลิกเที่ยวบิน 33 เที่ยวในช่วงเช้าวันเสาร์ และอาจยกเลิกเพิ่มในช่วงบ่าย

เอ็นเอชเค รายงานอีกว่า สนามบินหลายแห่งในเมืองฮิโรชิมะและคางาวะ ทางตะวันตก ต้องปิดชั่วคราวเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำการเก็บกวาดหิมะออกจากรันเวย์ ขณะที่ผู้ให้บริการรถไฟในญี่ปุ่น ประกาศระงับการบริการรถไฟหัวกระสุน 'ชินคันเซน' ในภาคตะวันตกของประเทศชั่วคราว

ด้านสำนักข่าวเกียวโด รายงานว่า ทางด่วนบางเส้นทางในภาคกลางของญี่ปุ่นถูกปิด เนื่องจากหิมะ ขณะที่ในกรุงโตเกียว มหาวิทยาลัยหลายแห่งประกาศเลื่อนเวลา เริ่มการสอบเอนทรานซ์ในวันเสาร์.

 




เรียบเรียงโดย KERO uAsean.com
เนื้อหาอ้างอิงจาก ไทยรัฐ