ลบ แก้ไข

โค้งสุดท้ายเตรียมพร้อมสู่ 'เออีซี'

 

     อีกแค่ไม่กี่อึดใจชาติสมาชิก "สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" หรือ "อาเซียน" ก็จะเข้าสู่การเป็น"ประชาคมอาเซียน" หรือ "เอซี" แล้ว ตามกําหนดคือวันที่31 ธ.ค. 2558 แต่จนถึงขณะนี้ก็ยังมีคนไม่เข้าใจว่า "อาเซียน"ต่างจาก "ประชาคมอาเซียน" อย่างไร

     จากหนังสือคู่มือฉบับประชาชนสําหรับการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ชื่อ "58 คําตอบ สู่ประชาคมอาเซียน 2558" ซึ่งจัดทําขึ้นโดยกรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศได้อธิบายไว้ให้เข้าใจง่ายๆ อย่างชัดเจนว่า"อาเซียน" (ASEAN : Association of Southeast Asian Nations) เป็น "องค์กร" ความร่วมมือระดับภูมิภาคที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 8 ส.ค. 2510 เพื่อส่งเสริมความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางสังคม และส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค ขณะที่ "ประชาคมอาเซียน" (AC : ASEAN Community) เป็น "เปูาหมาย" ความร่วมมือ 3 ด้านสําคัญ ประกอบด้วย
 
 - ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน หรือ "เอพีเอสซี"
 - ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน หรือ "เอเอสซีซี

     ทั้งนี้เหล่าผู้นําชาติสมาชิกอาเซียนได้ตกลงกันในการประชุมสุดยอดอาเซียนที่บาหลีอินโดนีเซีย เมื่อปี 
2546 โดยการดําเนินงานไปสู่เปูาหมายทั้ง 3 ด้าน เป็นสิ่งที่ต่อยอดจากความร่วมมืออาเซียนที่มีอยู่แล้วและ
การดําเนินการใหม่ๆ เพื่อตอบสนองความท้าทายใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น


     ความสําคัญของอาเซียนต่อประเทศไทยนั้น อาเซียนถือเป็นวาระแห่งชาติ เป็นพื้นฐานสําคัญของนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลมาทุกยุคทุกสมัย ทั้งนี้ไทยเป็นประเทศที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนอาเซียนมาตั้งแต่ต้น ในฐานะประเทศผู้ร่วมก่อตั้ง 1 ใน 5 ชาติ ตาม "ปฏิญญากรุงเทพฯ (Bangkok Declaration)" ปี พ.ศ. 2510 อาเซียนเป็นตลาดส่งออกอันดับ1 ของไทยตั้งแต่ปี 2545 ไทยได้ดุลการค้ากับอาเซียนตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมา ร้อยละ 20 ของการลงทุนจากต่างประเทศในไทยมาจากอาเซียน และร้อยละ 30 ของนักท่องเที่ยวต่างชาติมาจากประเทศในอาเซียน

     "น.ส.บุษฎี สันติพิทักษ์" รองอธิบดีกรมอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่า อาเซียนเป็นวาระแห่งชาติของไทยมาโดยตลอด โดยหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ได้ลงนามแต่งตั้งคณะกรรมการศูนย์อํานวยการเตรียมความพร้อม เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 2557 ซึ่งมีการประชุมไปแล้ว 1 ครั้งโดยเน้นเรื่องประเด็นเร่งด่วน การประชาสัมพันธ์ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย ส่วนคณะอนุกรรมการ ด้านการเมืองความมั่นคง ประชุมไปแล้ว 2 ครั้ง เน้นเรื่องการเร่งรัดแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคง (สมช.) โดยกําหนดเจ้าภาพ และแนวทางการดําเนินการ ระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง

      ในส่วนของภาคราชการ ได้มีการปรับโครงสร้างส่วนราชการเพื่อรองรับการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน ตั้งการจัดตั้ง ASEAN Unit/ ASEAN Center มียุทธศาสตร์ แผนงาน และงบประมาณ มีระบบงานสนับสนุนบูรณาการสร้างองค์ความรู้ กําหนดตัวชี้วัด และสร้างเครือข่ายทั้งภายในและภายนอกประเทศ ขณะที่การปรับความเชื่อที่มีผลต่อพฤติกรรมของบุคลากรได้มีการเตรียมความพร้อมในด้านทักษะ ทั้งความเชี่ยวชาญ ภาษา การเจรจา กฎหมายระหว่างประเทศ สนับสนุนในบุคลากรมีมุมมองที่ไกลกว่าประเทศไทย และเสริมสร้างทัศนคติในเชิงบวก อย่างไรก็ตามน.ส.บุษฎี ยอมรับว่าแม้แต่ภาครัฐเองก็ยังขาดแคลนบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านภาษาเพื่อบ้านในอาเซียน แตกต่างจากเพื่อนบ้านที่รู้ภาษาไทยกันมาก ซึ่งในส่วนนี้ต้องอาศัยภาคการศึกษาเข้ามาแก้ไขปัญหา โดยทุกส่วนต้องทํางานอย่างบูรณาการอย่างแท้จริง มองภาพเดียวกัน เข้าใจตรงกันในเรื่อง positioning ของไทย และผลประโยชน์หลักที่ไทยต้องการผลักดัน มีการผสานแผนงานของกระทรวงต่างๆโดยควรจะสอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

     "นายธานินทร์ ผะเอม" รองเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ มองว่า การจัดการหน่วยงานของภาครัฐทําได้ดีกว่าปีที่แล้ว ทั้งในด้านการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจ และพัฒนาศักยภาพบุคลากร รวมทั้งการดําเนินการตามพันธกรณี เช่น การทบทวน แก้ไขปรับปรุงกฎหมายภายในประเทศเพื่ออํานวยความสะดวกด้านการค้าการลงทุน

     ประเทศไทยยังคงมีศักยภาพในหลายๆ ด้านที่จะได้ประโยชน์ในการรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียน โดยเฉพาะในเรื่องของสินค้าเกษตร และการออกแบบงานความคิดสร้างสรรค์ อีกทั้งก็มีงานวิจัยที่สามารถนําไปต่อยอดพัฒนาเพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มแก่ผู้ประกอบได้อยู่แล้ว หากแต่ระเบียบราชการบางประการที่ทําให้การนําไปใช้ประโยชน์ยังไม่สามารถทําได้อย่างคล่องตัว จุดนี้เป็นสิ่งที่น่าเสียดาย กลายเป็นรัฐทําวิจัยแต่ขึ้นหิ้งไม่ขึ้นห้าง

    ปัจจุบันภาพรวมความก้าวหน้าของการเตรียมพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนโดยการประเมินของสํานักเลขาธิการอาเซียนในภาพรวมอยู่ที่ร้อยละ 82.5 โดยแยกเป็นเสาการเมืองและความมั่นคงร้อยละ 78 เสาเศรษฐกิจ ร้อยละ 79.7 ส่วนเสาสังคมและวัฒนธรรมร้อยละ 90 ขณะที่เวทีประชุมเวิลด์ อิโคโนมิก ฟอรัม (WEF 2013/14) ได้สรุปปัญหาที่จะเป็นอุปสรรคต่อการทําธุรกิจในไทยไว้ 5 ประการ ได้แก่ ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ความต่อเนื่องของรัฐบาล ความต่อเนื่องของนโยบาย การขาดแคลนบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ และการขาดแคลนความสามารถในการปรับปรุงสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ นี่ยังเป็นโจทย์ใหญ่ที่ไทยต้องแก้ไขเพื่อจะไม่ให้ตกขบวนประชาคมอาเซียนในสิ้นปี 58 นี้หมายเหตุ : รายงานพิเศษฉบับนี้มาจากเนื้อหาส่วนหนึ่งของการสัมมนา TU-ASEAN Forum ครั้งที่ 9 ในหัวข้อ "โค้งสุดท้าย กับการเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมอาเซียนของ ไทย"ซึ่งจัดขึ้นโดยศูนย์อาเซียนศึกษา 
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันพุธที่ 17 ธ.ค.57 ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่นกรุงเทพมหานคร

ขอขอบคุณข้อมูลจาก :  สยามรัฐ
 

Editor
ชม 2,504 ครั้ง
 

เรื่องที่เกี่ยวข้อง


สงวนลิขสิทธิ์ © 2556 uAsean.com มหานครอาเซียน Developed By Upbean ข้อกำหนดและเงื่อนไขในการให้บริการ