ลบ
แก้ไข
บทบาทของท่าเรือ นอกจากเป็นจุดเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจของประเทศเข้ากับตลาดต่างประเทศ ยังเป็นแหล่งรวมทางการค้าที่สําคัญของแต่ละประเทศ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) รายงานผลดําเนินงานให้บริการเรือสินค้า และตู้สินค้า ผ่านท่าเรือสําคัญของประเทศ คือ ท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน ท่าเรือเชียงของและ ท่าเรือระนอง ในรอบปีงบประมาณ 2557ไว้ว่า ท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) มีเรือเทียบท่าทั้งสิ้นจํานวน 3,185เที่ยว มีสินค้าผ่านท่าคิดเป็นน้ำหนัก 21.422ล้านตัน มีตู้สินค้าผ่านท่า (รวมตู้เปล่า) จํานวน 1.519ล้านทีอียูท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรีมีเรือเข้าเทียบท่าทั้งสิ้น 6,600เที่ยว มีสินค้าผ่านท่าคิดเป็นน้ําหนัก 72.264ล้านตัน มีตู้สินค้าผ่านท่า 6.459ล้านทีอียูท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน จ.เชียงราย มีเรือเทียบท่า 8,144เที่ยว มีสินค้าผ่านท่า 370,726ตัน ท่าเรือเชียงของ จ.เชียงราย (ตั้งอยู่ตรงข้ามเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว) มีเรือเทียบท่าทั้งสิ้น 241เที่ยว มีสินค้าผ่านท่า 40,629ตันและ ท่าเรือระนอง มีเรือเทียบท่า 356เที่ยว มีสินค้าผ่านท่า 244,000ตัน ตามลําดับเรือตรีทรงธรรม จันทประสิทธิ์ผู้อํานวยการท่าเรือกรุงเทพ รักษาการแทนผู้อํานวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) กล่าวว่า ในภาพรวม กทท.มีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าเรือเพิ่มขึ้น ทั้งที่ท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบัง โดยปีงบประมาณ 2557มีตู้สินค้าผ่านท่าเรือทั้งสองแห่งรวมถึง7.978 ล้านทีอียูหรือคิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 6.79% และมีการขยายตัวของสินค้าผ่านท่าเรือทั้งสองแห่งเพิ่มขึ้นในอัตรา 6.31%
ตัวเลขดังกล่าว สอดคล้องในทิศทางเดียวกับการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจไทย แม้ว่าช่วงแรกของปีงบประมาณ 57 มีการชะลอตัวจากเหตุการณ์ทางการเมืองที่ยืดเยื้อ แต่ในช่วงปลายปีการส่งออกและนําเข้าของประเทศเริ่มฟื้นตัว
เรือตรีทรงธรรม กล่าวว่า จากการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2558 คาดว่า จีดีพีน่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าปี 2557 โดยกลับมาขยายตัวได้ถึงร้อยละ 4 ซึ่งเทียบกับเมื่อปี 2557 ขยายตัวได้แค่ร้อยละ 1.5เขามองว่าปีนี้ไม่เพียงจีดีพีของไทยมีแนวโน้มอัตราขยายตัวดีขึ้น ช่วงปลายปียังมีการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) จึงคาดว่า ปีงบประมาณ 2558 ท่าเรือกรุงเทพและแหลมฉบัง ซึ่งเป็นสองท่าเรือหลักของประเทศ น่าจะมีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่า ไม่ต่ํากว่า 1.579 ล้านทีอียูและ 6.911ล้านทีอียูขยายตัวที่อัตราร้อยละ 4 และร้อยละ 7
ตามลําดับ
ในแง่การเตรียมพร้อมเพื่อรองรับการเปิดเออีซีก่อนหน้านี้ทางผู้บริหารท่าเรือแหลมฉบังได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน “ASEAN Port Symposium 2014” ซึ่งเป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ของผู้นําท่าเรือในภูมิภาคอาเซียน เพื่อร่วมกันหาแนวทางบูรณาการด้านการขนส่งทางทะเล และสร้างศักยภาพในการแข่งขันทางการค้าระดับโลก พัฒนาสัมพันธภาพ ความร่วมมือระหว่างท่าเรือต่างๆ ในกลุ่มสมาชิกอาเซียนด้วยกัน
การประชุมดังกล่าว ซึ่งมีผู้บริหารท่าเทียบเรือทั้งสิ้น 10 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซียสิงคโปร์มาเลเซีย ฟิลิปปินส์บรูไน ลาว กัมพูชา เวียดนาม และ เมียนมาร์พร้อมทั้งผู้ประกอบการท่าเทียบเรือเอกชน และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจํานวนมาก ร่วมประชุมกันไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2557 ที่ จ.ชลบุรี
การประชุมได้ข้อสรุปว่า แม้กลุ่มประเทศอาเซียนมีระบบเครือข่ายการขนส่งทางเรือที่มีรูปแบบหลากหลาย แต่เมื่อทั้ง 10 ประเทศก้าวเข้าสู่เออีซีในปลายปีนี้ต้องมองภาพรวมการบริหารที่ใหญ่ขึ้นจากการรวมตัวกันของสมาชิก เช่น พึ่งพาทรัพยากรทางเศรษฐกิจร่วมกัน เสริมสร้างความแข็งแกร่งนําไปสู่การสร้างโอกาสทางการค้าร่วมกัน
ในแง่ของผู้ประกอบการทุกภาคส่วน ต้องเร่งปรับตัว และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยเฉพาะการพัฒนาระบบ “โลจิสติกส์” ซึ่งปัจจุบันต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของไทย ยังสูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาค เป็นการบ้านที่ผู้ประกอบการไทย ต้องเร่งหาทางแก้ กลุ่มอาเซียนมีระบบเครือข่ายการขนส่งทางเรือที่พึ่งพากัน ทั้งระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลกอยู่แล้ว ความเชื่อมโยงด้านการขนส่งทางทะเลภายในกลุ่มอาเซียนเป็นไปด้วยดีจึงน่าจะพร้อมรองรับการขนส่งสินค้าปริมาณมหาศาล ทั้งภายในอาเซียนด้วยกัน และประเทศอื่นนอกกลุ่มได้ดี นอกจากนี้เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปลายปี 2558การท่าเรือแห่งประเทศไทย ยังได้เปิด เส้นทางเดินเรือระบบตู้สินค้า ที่ ท่าเรือระนอง จ.ระนอง สู่ประเทศเมียนมาร์และกลุ่มประเทศ BIMSTEC ได้แก่ บังกลาเทศอินเดียเมียนมาร์ศรีลังกา ภูฏาน เนปาลและไทย
โดย กทท. มุ่งให้ท่าเรือระนองเป็นท่าเรือหลักในการรองรับการขนส่งตู้สินค้าไปยังกลุ่มประเทศทางฝั่งทะเลอันดามันและเอเชียใต้โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ BIMSTEC เพื่อเปิดประตูการค้า และกระตุ้นเศรษฐกิจไทย เชื่อมโยงสู่เศรษฐกิจโลก
การเปิดเส้นทางเดินเรือดังกล่าว นับเป็นจุดเริ่มที่ดีและเป็นก้าวสําคัญของท่าเรือระนอง ในการสร้างความร่วมมือกับสายการเดินเรือ S.A.K เพื่อขนส่งตู้สินค้าผ่านเข้า-ออกเป็นประจํา ณ ท่าเรือแห่งนี้ นอกจากนี้กทท. ยังอยู่ระหว่างเจรจาประสานความร่วมมือในการจัดทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับทางการท่าเรือของเมียนมาร์ (Myanmar Port Authority) ซึ่งกํากับดูแลท่าเรือต่างๆในกรุงย่างกุ้ง เนื่องจากท่าเรือระนอง ตั้งอยู่บนเส้นทางยุทธศาสตร์สําคัญทางเศรษฐกิจ ช่วยร่นระยะทางในการเดินเรือสินค้าไปยังเมียนมาร์และประเทศทางฝั่งทะเลอันดามัน หรือมหาสมุทรอินเดียลงประมาณ 3 เท่า ให้เหลือเพียง 4-7 วัน เมื่อเทียบกับเส้นทางเดินเรืออ้อมผ่านแหลมมะละกา ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ15-20 วัน
ขณะที่ท่าเรือเชียงแสน ก่อนหน้านี้นายสุรพงษ์รงศิริกุล รองผู้อํานวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยพร้อมคณะ ได้เดินทางไปหารือกับผู้บริหารระดับสูงของฝ่ายจีน เพื่อเจรจาเปิดเส้นทางการขนส่งสินค้าในลุ่มแม่น้ําโขง เชื่อมโยงการค้า ระบบขนส่ง และโลจิสติกส์ระหว่างจีนตอนใต้กับอาเซียนผ่านท่าเรือเชียงแสน รวมทั้งพัฒนาความร่วมมือเพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจขนส่งตู้สินค้าระหว่างท่าเรือเชียงแสน กับท่าเรือตามลําน้ําโขงของจีน เช่น ท่าเรือกวน-เหล่ย ท่าเรือก๋านหล่านป้า เป็นต้น
ทั้งนี้ทางกรมเจ้าท่าของจีนยืนยันจะปล่อยน้ําลงมาเพื่อยกระดับน้ําในเส้นทางการเดินเรือในแม่น้ําโขง ระหว่างท่าเรือเชียงแสนกับท่าเรือของจีนให้สามารถเดินเรือได้สะดวก ปลอดภัยตลอดทั้งปีที่ระดับน้ําลึกเฉลี่ย 3.5-4 เมตร รองรับเรือขนาด 500 ตัน เพื่อส่งสินค้าออกไปทางแอฟริกา และยุโรปผ่านท่าเรือเชียงแสน และท่าเรือระนองในรูปแบบของการขนส่งต่อเนื่อง เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าการลงทุนสินค้าเกษตรแปรรูป ช่วยประหยัดเวลาการขนส่งจากตะวันตกของจีนไปยังประเทศดังกล่าว
ทั้งหมดคือตัวอย่างเกมรุกที่ท่าเรือไทย เตรียมปูความพร้อม ก่อนเปิดประตูสู่เออีซีอย่างเป็นทางการในปลายปีนี้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยรัฐออนไลน์
ท่าเรือไทยฟิตพร้อมลุยเออีซี
บทบาทของท่าเรือ นอกจากเป็นจุดเชื่อมโยงระบบเศรษฐกิจของประเทศเข้ากับตลาดต่างประเทศ ยังเป็นแหล่งรวมทางการค้าที่สําคัญของแต่ละประเทศ
การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) รายงานผลดําเนินงานให้บริการเรือสินค้า และตู้สินค้า ผ่านท่าเรือสําคัญของประเทศ คือ ท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน ท่าเรือเชียงของและ ท่าเรือระนอง ในรอบปีงบประมาณ 2557ไว้ว่า ท่าเรือกรุงเทพ (คลองเตย) มีเรือเทียบท่าทั้งสิ้นจํานวน 3,185เที่ยว มีสินค้าผ่านท่าคิดเป็นน้ำหนัก 21.422ล้านตัน มีตู้สินค้าผ่านท่า (รวมตู้เปล่า) จํานวน 1.519ล้านทีอียูท่าเรือแหลมฉบัง จ.ชลบุรีมีเรือเข้าเทียบท่าทั้งสิ้น 6,600เที่ยว มีสินค้าผ่านท่าคิดเป็นน้ําหนัก 72.264ล้านตัน มีตู้สินค้าผ่านท่า 6.459ล้านทีอียูท่าเรือพาณิชย์เชียงแสน จ.เชียงราย มีเรือเทียบท่า 8,144เที่ยว มีสินค้าผ่านท่า 370,726ตัน ท่าเรือเชียงของ จ.เชียงราย (ตั้งอยู่ตรงข้ามเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว) มีเรือเทียบท่าทั้งสิ้น 241เที่ยว มีสินค้าผ่านท่า 40,629ตันและ ท่าเรือระนอง มีเรือเทียบท่า 356เที่ยว มีสินค้าผ่านท่า 244,000ตัน ตามลําดับเรือตรีทรงธรรม จันทประสิทธิ์ผู้อํานวยการท่าเรือกรุงเทพ รักษาการแทนผู้อํานวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) กล่าวว่า ในภาพรวม กทท.มีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่าเรือเพิ่มขึ้น ทั้งที่ท่าเรือกรุงเทพและท่าเรือแหลมฉบัง โดยปีงบประมาณ 2557มีตู้สินค้าผ่านท่าเรือทั้งสองแห่งรวมถึง7.978 ล้านทีอียูหรือคิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 6.79% และมีการขยายตัวของสินค้าผ่านท่าเรือทั้งสองแห่งเพิ่มขึ้นในอัตรา 6.31%
ตัวเลขดังกล่าว สอดคล้องในทิศทางเดียวกับการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจไทย แม้ว่าช่วงแรกของปีงบประมาณ 57 มีการชะลอตัวจากเหตุการณ์ทางการเมืองที่ยืดเยื้อ แต่ในช่วงปลายปีการส่งออกและนําเข้าของประเทศเริ่มฟื้นตัว
เรือตรีทรงธรรม กล่าวว่า จากการวิเคราะห์แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2558 คาดว่า จีดีพีน่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าปี 2557 โดยกลับมาขยายตัวได้ถึงร้อยละ 4 ซึ่งเทียบกับเมื่อปี 2557 ขยายตัวได้แค่ร้อยละ 1.5เขามองว่าปีนี้ไม่เพียงจีดีพีของไทยมีแนวโน้มอัตราขยายตัวดีขึ้น ช่วงปลายปียังมีการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) จึงคาดว่า ปีงบประมาณ 2558 ท่าเรือกรุงเทพและแหลมฉบัง ซึ่งเป็นสองท่าเรือหลักของประเทศ น่าจะมีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่า ไม่ต่ํากว่า 1.579 ล้านทีอียูและ 6.911ล้านทีอียูขยายตัวที่อัตราร้อยละ 4 และร้อยละ 7
ตามลําดับ
ในแง่การเตรียมพร้อมเพื่อรองรับการเปิดเออีซีก่อนหน้านี้ทางผู้บริหารท่าเรือแหลมฉบังได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน “ASEAN Port Symposium 2014” ซึ่งเป็นการรวมตัวครั้งใหญ่ของผู้นําท่าเรือในภูมิภาคอาเซียน เพื่อร่วมกันหาแนวทางบูรณาการด้านการขนส่งทางทะเล และสร้างศักยภาพในการแข่งขันทางการค้าระดับโลก พัฒนาสัมพันธภาพ ความร่วมมือระหว่างท่าเรือต่างๆ ในกลุ่มสมาชิกอาเซียนด้วยกัน
การประชุมดังกล่าว ซึ่งมีผู้บริหารท่าเทียบเรือทั้งสิ้น 10 ประเทศ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซียสิงคโปร์มาเลเซีย ฟิลิปปินส์บรูไน ลาว กัมพูชา เวียดนาม และ เมียนมาร์พร้อมทั้งผู้ประกอบการท่าเทียบเรือเอกชน และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องจํานวนมาก ร่วมประชุมกันไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2557 ที่ จ.ชลบุรี
การประชุมได้ข้อสรุปว่า แม้กลุ่มประเทศอาเซียนมีระบบเครือข่ายการขนส่งทางเรือที่มีรูปแบบหลากหลาย แต่เมื่อทั้ง 10 ประเทศก้าวเข้าสู่เออีซีในปลายปีนี้ต้องมองภาพรวมการบริหารที่ใหญ่ขึ้นจากการรวมตัวกันของสมาชิก เช่น พึ่งพาทรัพยากรทางเศรษฐกิจร่วมกัน เสริมสร้างความแข็งแกร่งนําไปสู่การสร้างโอกาสทางการค้าร่วมกัน
ในแง่ของผู้ประกอบการทุกภาคส่วน ต้องเร่งปรับตัว และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันโดยเฉพาะการพัฒนาระบบ “โลจิสติกส์” ซึ่งปัจจุบันต้นทุนด้านโลจิสติกส์ของไทย ยังสูงกว่าหลายประเทศในภูมิภาค เป็นการบ้านที่ผู้ประกอบการไทย ต้องเร่งหาทางแก้ กลุ่มอาเซียนมีระบบเครือข่ายการขนส่งทางเรือที่พึ่งพากัน ทั้งระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับโลกอยู่แล้ว ความเชื่อมโยงด้านการขนส่งทางทะเลภายในกลุ่มอาเซียนเป็นไปด้วยดีจึงน่าจะพร้อมรองรับการขนส่งสินค้าปริมาณมหาศาล ทั้งภายในอาเซียนด้วยกัน และประเทศอื่นนอกกลุ่มได้ดี นอกจากนี้เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปลายปี 2558การท่าเรือแห่งประเทศไทย ยังได้เปิด เส้นทางเดินเรือระบบตู้สินค้า ที่ ท่าเรือระนอง จ.ระนอง สู่ประเทศเมียนมาร์และกลุ่มประเทศ BIMSTEC ได้แก่ บังกลาเทศอินเดียเมียนมาร์ศรีลังกา ภูฏาน เนปาลและไทย
โดย กทท. มุ่งให้ท่าเรือระนองเป็นท่าเรือหลักในการรองรับการขนส่งตู้สินค้าไปยังกลุ่มประเทศทางฝั่งทะเลอันดามันและเอเชียใต้โดยเฉพาะกลุ่มประเทศ BIMSTEC เพื่อเปิดประตูการค้า และกระตุ้นเศรษฐกิจไทย เชื่อมโยงสู่เศรษฐกิจโลก
การเปิดเส้นทางเดินเรือดังกล่าว นับเป็นจุดเริ่มที่ดีและเป็นก้าวสําคัญของท่าเรือระนอง ในการสร้างความร่วมมือกับสายการเดินเรือ S.A.K เพื่อขนส่งตู้สินค้าผ่านเข้า-ออกเป็นประจํา ณ ท่าเรือแห่งนี้ นอกจากนี้กทท. ยังอยู่ระหว่างเจรจาประสานความร่วมมือในการจัดทําบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับทางการท่าเรือของเมียนมาร์ (Myanmar Port Authority) ซึ่งกํากับดูแลท่าเรือต่างๆในกรุงย่างกุ้ง เนื่องจากท่าเรือระนอง ตั้งอยู่บนเส้นทางยุทธศาสตร์สําคัญทางเศรษฐกิจ ช่วยร่นระยะทางในการเดินเรือสินค้าไปยังเมียนมาร์และประเทศทางฝั่งทะเลอันดามัน หรือมหาสมุทรอินเดียลงประมาณ 3 เท่า ให้เหลือเพียง 4-7 วัน เมื่อเทียบกับเส้นทางเดินเรืออ้อมผ่านแหลมมะละกา ซึ่งต้องใช้เวลาประมาณ15-20 วัน
ขณะที่ท่าเรือเชียงแสน ก่อนหน้านี้นายสุรพงษ์รงศิริกุล รองผู้อํานวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทยพร้อมคณะ ได้เดินทางไปหารือกับผู้บริหารระดับสูงของฝ่ายจีน เพื่อเจรจาเปิดเส้นทางการขนส่งสินค้าในลุ่มแม่น้ําโขง เชื่อมโยงการค้า ระบบขนส่ง และโลจิสติกส์ระหว่างจีนตอนใต้กับอาเซียนผ่านท่าเรือเชียงแสน รวมทั้งพัฒนาความร่วมมือเพื่อสร้างเครือข่ายธุรกิจขนส่งตู้สินค้าระหว่างท่าเรือเชียงแสน กับท่าเรือตามลําน้ําโขงของจีน เช่น ท่าเรือกวน-เหล่ย ท่าเรือก๋านหล่านป้า เป็นต้น
โดยได้เจรจากับบริษัท Chonqing New Jinhang Group Co.Ltd. เพื่อพัฒนาระบบโลจิสติกส์
ทางน้ํา เชื่อมไทยสู่อาเซียน และเตรียมความพร้อมในการนําเรือตู้สินค้า มาเปิดให้บริการเดินเรือเที่ยวแรกระหว่างท่าเรือเชียงแสนกับท่าเรือก๋านหล่านป้า
ทั้งนี้ทางกรมเจ้าท่าของจีนยืนยันจะปล่อยน้ําลงมาเพื่อยกระดับน้ําในเส้นทางการเดินเรือในแม่น้ําโขง ระหว่างท่าเรือเชียงแสนกับท่าเรือของจีนให้สามารถเดินเรือได้สะดวก ปลอดภัยตลอดทั้งปีที่ระดับน้ําลึกเฉลี่ย 3.5-4 เมตร รองรับเรือขนาด 500 ตัน เพื่อส่งสินค้าออกไปทางแอฟริกา และยุโรปผ่านท่าเรือเชียงแสน และท่าเรือระนองในรูปแบบของการขนส่งต่อเนื่อง เพื่อสร้างโอกาสทางการค้าการลงทุนสินค้าเกษตรแปรรูป ช่วยประหยัดเวลาการขนส่งจากตะวันตกของจีนไปยังประเทศดังกล่าว
ทั้งหมดคือตัวอย่างเกมรุกที่ท่าเรือไทย เตรียมปูความพร้อม ก่อนเปิดประตูสู่เออีซีอย่างเป็นทางการในปลายปีนี้
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยรัฐออนไลน์
เกี่ยวกับประเทศ

เรื่องที่เกี่ยวข้อง
-
โฆษกธุรกิจระดับสูงในพม่ากล่าวว่า การเป็นหุ้นส่วนกับธุรกิจในท้องถิ่นจะเป็นปัจจัยทางความสำเร็จที่สำคัญ สำหรับบริษัทของไทยที่ต้องการประสบความสำเร็จในประเทศพม่า...by dogTech
-
การมาถึงของประชาคมอาเซียน จะทำให้การปลูกกาแฟของไทยมีแนวโน้มที่จะต้องเผชิญกับการแข่งขันมากขึ้น ทำให้กรมวิชาการเกษตรได้มีการพัฒนาการเพิ่มผลผลิตและหาวิธีลดต้นทุนการผลิต กรมวิชาการเกษตรได้ให้เกษตรกรที่ปลูกกาแฟ...by dogTech
-
สิงคโปร์ เผยว่า อยู่ระหว่างตรวจสอบการค้าเงินเสมือนจริงและโลหะมีค่าอื่น ๆ เพื่อสกัดการหาทุนเถื่อนรูปแบบใหม่ของกลุ่มก่อการร้ายและแก๊งอาชญากร กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานการเงินสิงคโปร์...by Editor Bow
-
เพื่อการส่งออกรถยนต์และยานพาหนะไปยังประเทศในภูมิภาคอาเซียนโดยไม่มีกำแพงภาษี ทำให้บริษัทฟอร์ดเลือกที่จะใช้ชิ้นส่วนรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศไทย โดยฟอร์ดวางแผนที่จะซื้อชิ้นส่วนยานยนต์มากถึง 800 ล้านเหรียญสหรัฐ...by dogTech
เรื่องมาใหม่
คำฮิต