หอการค้าไทยชี้ 5 ปีหลังเปิดเออีซี สินค้าไทยในตลาดจีน โดนเพื่อนบ้านอาเซียนแย่งตลาด ทำมูลค่าส่งออกหายไป 1.17 แสนล้านบาท ระบุข้าว-เครื่องใช้ไฟฟ้า-สิ่งทอเครื่องนุ่งห่มกระทบหนักสุด...
วันที่ 25 พ.ย. นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยถึงบทวิเคราะห์ เรื่อง “การแข่งขันสินค้าไทยและอาเซียนในตลาดจีนอีก 5 ปีข้างหน้า” ว่า ภาพรวมการแข่งขันสินค้าไทยในตลาดจีนอีก 5 ปีข้างหน้า (ปี 58-62) หลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) จะได้รับความเสียหาย เพราะประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มลุ่มน้ำโขง (ซีแอลเอ็มวี) ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม จะแย่งตลาด ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าไทยเข้าไปในตลาดจีน หายไป 117,000 ล้านบาท แต่ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นเล็กน้อย มาอยู่ที่ 1.97% จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.95%
สำหรับสินค้าส่งออกของไทยในตลาดจีนที่นำมาศึกษาทั้ง 14 รายการ พบว่า สินค้าในกลุ่มเกษตรของไทยจะได้รับความเสียหายมากขึ้น โดยเฉพาะข้าวที่คาดว่าในอีก 5 ปีข้างหน้า มูลค่าส่งออกไปจีนลดลง 14,600 ล้านบาท ส่วนแบ่งตลาดลดลงมาอยู่ที่ 20-30% จากปัจจุบัน 90% เพราะถูกเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม พม่า และกัมพูชาแย่งตลาด ทั้งในตลาดจีนและตลาดอาเซียน เช่นเดียวกับการส่งออกสัตว์น้ำ ที่เวียดนามและอินโดนีเซียแย่งตลาด ทำให้มูลค่าการส่งออกสัตว์น้ำของไทยในตลาดจีนอีก 5 ปีข้างหน้า หายไป 3,091 ล้านบาท
นอกจากนี้ การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม ที่ใช้แรงงานเข้มข้นจะได้รับความเสียหายมากขึ้น โดยอุตสาหกรรมสิ่งทอจะมีมูลค่าส่งออกลดลง 17,500 ล้านบาท เครื่องแต่งกายมูลค่าลดลง 5,002 ล้านบาท รองเท้ามูลค่าลดลง 4,154 ล้านบาท และอัญมณี มูลค่าลดลง 25,600 ล้านบาท แต่สินค้าที่จะได้รับผลกระทบในด้านของมูลค่าส่งออกลดลงมากที่สุด คือ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มูลค่าส่งออกหายไปถึง 198,000 ล้านบาท เพราะมาเลเซีย ซึ่งเป็นเจ้าตลาดเดิมได้ขยายฐานส่งออกมากขึ้น รวมทั้งเวียดนาม ที่ต่างชาติตั้งฐานการผลิตเพื่อส่งออกมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีสินค้าที่ยังได้ประโยชน์หลังเปิดเออีซี ได้แก่ มันสำปะหลัง ที่คาดว่าจะมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น 14,500 ล้านบาท ยางและผลิตภัณฑ์ยาง คาดจะมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น 18,400 ล้านบาท ผลไม้เพิ่มขึ้น 17,000 ล้านบาท อาหารแปรรูปเพิ่มขึ้น 16,200 ล้านบาท ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้เพิ่มขึ้น 1,541 ล้านบาท และพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติกเพิ่มขึ้น 1,209 ล้านบาท
"ปัจจุบันไทยมีมูลค่าการส่งออกในตลาดจีน เป็นอันดับ 2 รองจากมาเลเซีย แต่ในอีก 5 ปีข้างหน้า มูลค่าการส่งออกของไทยจะหล่นไปอยู่อันดับ 4 โดยมีอินโดนีเซียและเวียดนาม แซงหน้าขึ้นมา และไม่ใช่แค่ในตลาดจีนเท่านั้น ที่สินค้าไทยจะโดนแย่งตลาด ยังรวมไปถึงตลาดอาเซียนด้วย ดังนั้น ทางออกคือ เราต้องขายสินค้าที่มีคุณภาพและมีมูลค่าสูงขึ้น ไม่ใช่แข่งขันที่ราคากับประเทศเพื่อนบ้านซีแอลเอ็มวี ที่ต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทย" นายอัทธ์ กล่าว
ทั้งนี้ ภาครัฐควรช่วยหาสถานที่ หรือประสานงานกับเอกชนที่เข้าไปลงทุนในจีนตั้งศูนย์กระจายสินค้าไทย เพื่อเป็นช่องทางนำสินค้าไทยไปขายในตลาดจีนมากขึ้น รวมทั้งช่วยศึกษาข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคและรสนิยมความต้องการสินค้าของคนจีน ตามรายมณฑลและรายสินค้า เพื่อให้ผู้ประกอบการไทยใช้เป็นข้อมูลในการเจาะตลาด ไม่ใช่ทำแบบเหวี่ยงแห่เหมือนทุกวันนี้ และส่งเสริมให้ใช้สิทธิประโยชน์จากการทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ให้มากขึ้น.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ไทยรัฐออนไลน์