บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จํากัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ ธุรกิจการเกษตรครบวงจรของไทยได้เข้ามาลงทุนในเวียดนามตั้งแต่ปี 2531 เริ่มจากเปิดสํานักงานการค้าที่นครโฮจิมินห์ก่อนก่อตั้งโรงงานผลิตอาหารสัตว์บกภาคใต้ที่จังหวัดด่องไน เป็นแห่งแรก ขยายไปสู่ธุรกิจเพาะเลี้ยงสุกร ไก่เนื้อ ไก่ไข่ส่วนทางภาคใต้เน้นการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ํา โดยเฉพาะกุ้งขาวแวนนาไม และปลาแพนกาเซียส ดอร์รี่ เพื่อการส่งออก บริเวณดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ําโขง
ในปัจจุบัน ซีพีเวียดนาม มีโรงงานอาหารสัตว์ 8 แห่ง โรงงานอบข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ 1 แห่ง ฟาร์มเลี้ยงสัตว์บกและสัตว์น้ําครอบคลุมทั้งประเทศโรงงานแปรรูปอาหารสัตว์บก 2 แห่ง ที่กรุงฮานอยและด่องไนโรงงานแปรรูปกุ้งแช่แข็งที่เมืองเว้กับ จังหวัดด่องไน และโรงงานแปรรูปปลาแพนกาเซียสดอร์รี่ ที่จังหวัดเบ๊นแจ นอกจากนี้ยังมีธุรกิจ จัดจําหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารซีพีได้แก่ ซุ้มไก่ย่างห้าดาว ร้านซีพีเฟรชมาร์ท และร้านซีพีช้อป
การลงทุนของซีพีเวียดนาม ภายใต้ชื่อ "ซีพีเวียดนาม คอร์ปอเรชั่น" ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากรัฐบาลเวียดนาม โดยมีซีพีเอฟ ประเทศไทย ถือหุ้นร้อยละ 29.18 ร่วมกับ ซีพีโภคภัณฑ์บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง ร้อยละ 70.82 มีมูลค่าการลงทุนถึงปัจจุบัน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยจํานวนบุคลากร 1.5 หมื่นคน ส่วนผลประกอบการในปี 2556 มีรายได้ 1.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ และในปี 2557 มีรายได้เฉพาะ 9 เดือนแรกรวม 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ
สุขสันต์เจียมใจสว่างฤกษ์รองประธานกรรมการ ซีพีเวียดนาม เปิดเผยว่า ปัจจัยที่ทําให้ซีพีเวียดนามประสบความสําเร็จ มาจากพื้นฐานธุรกิจด้านการเกษตร โดยมีธุรกิจอาหารสัตว์และฟาร์มสุกรเป็นหลัก ขณะเดียวกันยังมีธุรกิจสัตว์น้ํา กุ้ง และปลา แต่ในอนาคตจะค่อยๆ เน้นธุรกิจแปรรูปอาหารมากขึ้น ขณะนี้ได้ส่งทีมงานไปศึกษาเทคโนโลยีการผลิตที่บริษัทแม่ในไทย และเริ่มทําการตลาดสินค้าบางตัวในเวียดนาม
โดยตั้งแต่ปี 2558 จะเน้นไปที่ไส้กรอกเป็นหลัก เพราะเวียดนามเคยเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสมาก่อน จึงมีความนิยมอาหารประเภทนี้รวมทั้งไก่ทอด ไก่ย่าง ลูกชิ้นปลา และสินค้าใหม่คือไส้กรอก ที่มีจุดเด่นคือเก็บไว้ได้นานถึง 6 เดือน ฉีกรับประทานได้ทันทีโดยไม่ต้องแช่เย็น ซึ่งผลิตขึ้นเป็นแห่งแรก ขณะเดียวกัน การแปรรูปปลาแพนกาเซียส ดอร์รี่ จะเป็นผลิตภัณฑ์ปลาชุบแป้งทอด เบอร์เกอร์ปลา โดยเน้นตลาดส่งออกเป็นหลัก